แผนการสอนประจำรายวิชา

บทที่  1 

ประวัติศาสตร์ศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุดก่อนประวัติศาสตร์

 

            จุดประสงค์ 

            1.  สามารถเข้าใจความเป็นมาศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุดก่อนประวัติศาสตร์ได้

            2.  สามารถอธิบายรูปแบบศิลปะเครื่องประดับตะวันตกยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้

 

            เนื้อหา 

            เครื่องประดับในสมัยโบราณหรือในยุคก่อนประวัติศาสตร์  มนุษย์มีการสวมใส่เครื่องประดับและมีอัญมณีไว้เพื่อความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการรักษาโรค  แต่การประดิษฐ์เครื่องประดับในสมัยโบราณมีข้อจำกัดสูงมาก  เพราะเครื่องมือในการผลิตเป็นแบบง่ายๆ  ยากต่อการควบคุมรูปทรงของโลหะและรูปทรงของอัญมณี  โลหะที่นิยมตามความเชื่อคือ  ทองคำ  ซึ่งเป็นโลหะที่มีสีเหลืองอร่าม  ไม่ลอกคำและสามารถนำมาหลอมละลายทำรูปทรงต่างๆ  ได้ง่าย  ส่วนอัญมณีที่นิยม  คือ  อัญมณีกึ่งมีค่า  เช่น  เทอร์คอยส์  แอมิทิส  ลาปิสลาซูรี่  อาเกท  เป็นต้น

            แต่เครื่องประดับประเภทร้อยเป็นเครื่องประดับประเภทแรก  ที่มนุษย์นำมาใช้เพื่อการตกแต่งร่างกาย  แต่เดิมการร้อยหินต่างๆ  เกิดจากความเชื่อ  เช่น  เทพเจ้า  หรือเพื่อเป็นการป้องกันภัยธรรมชาติ  หรือเพื่อต้องการสร้างความมั่นใจในสิ่งที่หวาดกลัวและมองไม่เห็น  เป็นต้น  แล้วจึงนำมาร้อยเพื่อสามารถนำติดตัวอยู่ตลอดเวลาได้สะดวก  หรือเพื่อนำมาใช้ทางใดทางหนึ่งตามความเชื่อของตนเอง  ดังนั้นลูกปัดหรือเครื่องประดับประเภทร้อย  จึงเป็นเครื่องประดับที่แสดงถึงวัฒนธรรม  โดยมีหินเหล่านี้เป็นตัวสื่อที่ชัดเจ                                                                                                                                                         
           การแบ่งยุคก่อนประวัติศาสตร์มีดังนี้ 

            ยุค  Paleolithic  Period  หรือยุคหินเก่า  อยู่ในช่วง  33,000-10,000  ปีก่อนคริสตศักราช

            ยุค  Neolithic Period หรือยุคหินใหม่  อยู่ในช่วง  10,000-1,000  ปีก่อนคริสตศักราช

            ยุค  Bronze  Age  หรือยุคหินสำริด  อยู่ในช่วง  2,000-1,200  ปีก่อนคริสตศักราช

            ยุค  Iron  Age  หรือยุคเหล็ก  อยู่ในช่วง  1,200  ปีก่อนคริสตศักราช

            การค้นพบเครื่องประดับพบในช่วง  1.5  ล้านปีมาแล้วที่แอฟริกาตะวันออก  ในช่วงก่อนยุคหินเก่าเป็นช่วงที่ชาวยุโรปส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำ  ในช่วงนี้มีการร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับที่มีขนาดใหญ่  ไม่มีความละเอียดประณีตมากนักบ้างแล้ว  ส่วนใหญ่ได้มาจากวัสดุธรรมชาติที่พบในบริเวณที่อาศัย  เมื่อมาถึงยุคน้ำแข็งอากาศเริ่มมีความหนาวเย็น  แห้งแล้ง  สัตว์และมนุษย์เริ่มมีการแสวงหาอาหารมากขึ้น  จึงเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มศึกษาการล่าสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารและสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต  เมื่อเข้าสู่ช่วงยุค  Paleolithic  Period  หรือยุคหินเก่า  อยู่ในช่วง  33,000-10,000  ปีก่อนคริสตศักราช  พบเครื่องประดับทำมาจากระดูกสัตว์  ฟันสัตว์  ส่วนใหญ่เป็นจี้ห้อยคอ  เมื่อมาถึง  31,000  ปีก่อนคริสตศักราช  การร้อยลูกปัดได้ปรากฏเป็นจำนวนมาก  สร้างสรรค์อย่างสมัยใหม่  สิ่งที่หลงเหลือมากที่สุด  เห็นจะเป็นรูปทรงง่ายๆ  ต่อมาชาวยุโรปและชาวรัสเซียได้รวมห้าดินแดนหลักเข้าด้วยกัน  ซึ่งได้แก่  ยุโรปตะวันตก  (ทางใต้ของชาวฝรั่งเศสและทางเหนือของสเปน)  ดินแดนเมดิเตอร์เรเนียน  (อิตาลีและสเปนตะวันออก)  ศูนย์รวมยุโรป  (เชคโกสโลวาเกีย  เยอรมันนี  และออสเตรีย)  และรัสเซีย  (แคว้นยูเครนทางตอนบนและศูนย์กลางของไซบีเรีย)  มนุษย์เริ่มศึกษาหาความสมัยใหม่  ค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง  ซึ่งเกิดจากการที่ยุโรปและเอเชียได้มีการเปรียบเทียบผลงานซึ่งกันและกันจากการที่มนุษย์เริ่มรู้จักการเป็นนักเดินทาง

            หลังจากที่มนุษย์ได้ค้นพบไฟเมื่อ  23,500  ปีก่อนคริสตศักราช  จึงเกิดสิ่งของต่างๆ  ในลักษณะเซรามิค  จึงได้มีการพัฒนาการร้อยเครื่องประดับที่มีคุณภาพมากขึ้น  ลูกปัดเริ่มมีลักษณะนามธรรมและเป็นเชิงสัญลักษณ์มากขึ้น  เนื่องจากมนุษย์ได้พัฒนาเป็นสังคมเป็นกลุ่มคนมากยิ่งขึ้นมีการแต่งงานกัน  อาศัยอยู่ร่วมกัน  จึงลดการล่าสัตว์ลงมา  สิ่งที่ปรากฏ  คือ  การค้นพบการใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย  เนื่องจากได้ปรากฏการพัฒนาการวาดภาพพิธีการต่างๆ  บริเวณฝรั่งเศสตะวันตกเฉียงใต้และภาคเหนือของสเปน  ได้พบพวกฟันของหมาป่าเฮียน่า  หมาจิ้งจอก  กวางเรนเดีย  หมี  และช้างแมมมอธ  ที่นำมาแขวนร้อยเรียงกันเป็นสร้อย  บางส่วนได้กลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว  มีการเจาะรูตรงกลางไว้ร้อย  บางชิ้นได้นำเปลือกหอยมาร้อย  รวมถึงสัตว์ทะเลที่มาจากเมดิเตอร์เรเนี  
                เครื่องประดับที่มีรูปร่างเป็นนามธรรมและเชิงสัญลักษณ์  มีไว้เพื่อการเสี่ยงโชคหรือภาวะอันตราย  เพื่อใช้ในการล่า  และสัญลักษณ์เหล่านั้นก็มีความจำเป็นต่อความเชื่อของมนุษย์เป็นอย่างมาก  และเริ่มเป็นสิ่งของที่หายาก  แต่จำเป็นต้องมี  โดยทำมาจากวัสดุที่ได้มาจากกาล่าเป็นส่วนใหญ่  เช่น  กระดูก  ฟัน  เขี้ยว  และเปลือกหอย  หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัตว์  เพื่อนำมาสวมใส่หรือเพื่อการควบคุมสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ  เป็นการปรากฏที่แสดงถึงการเติบโตและแสดงความจำเป็นของมนุษย์มากยิ่งขึ้น

            เมื่อประมาณ  12,000  ถึง  11,000  ปีก่อนคริสตศักราช  ค้นพบจี้ห้อยคอจำนวนมาก  โดยนำมาประดับตกแต่งกับเสื้อผ้า  บางชิ้นใช้เปลือกไข่นกกระจอกเทศมาทำเป็นเครื่องประดับ  เมื่อมาถึง  12,500  ปีก่อนคริสตศักราช  มีรูปร่างเหมือนพายและมีลูกปัดกระดูกที่แกะสลักจำนวนมากมายยุค  Neolithic  Period  หรือยุคหินใหม่ อยู่ในช่วง  10,000-1,000  ปีก่อนคริสตศักราช  ที่เมืองลิบยาพบลูกปัดมีรูปร่างเป็นแผ่นกลม  และทำมาจากเปลือกไข่นกกระจอกเทศเช่นเดียวกัน  ต่อมามนุษย์มีความทันสมัยที่จะสร้างสิ่งของตามวัฒนธรรมตนเองมากขึ้น  ได้รวมกันเป็นองค์กร  มีพฤติกรรมทางพิธีการ  มีความละเอียดอ่อน  มนุษย์จึงเข้ากับธรรมชาติของโลกได้ดี  เช่น  กะโหลกศีรษะหมีนำมาจัดวางรอบๆ  หลุมฝังศพ  และฝังดินแดงรวมทั้งอาหารอื่นๆ  เครื่องมือและดอกไม้สดลงไปด้วย  โดยมีแนวความคิดชีวิตหลังความตาย  บางสิ่งก็เป็นการมีชีวิตของมนุษย์  ต้องการสัญลักษณ์ที่เป็นถาวร  หลังจากที่ทำพิธีกรรมไปแล้ว  จะมีเครื่องตกแต่งที่ทำมาจากผลเบอร์รี่และเมล็ดพันธุ์พืช  กระดูก  เปลือกหอย  และหิน  มาร้อยเป็นสัญลักษณ์ของพิธีกรรมเหล่านั้นด้วย

            การออกแบบเครื่องประดับที่มีแนวความคิดแบบนามธรรม  จัดเป็นวัฒนธรรมที่น่ายกย่องเนื่องจากเริ่มไม่ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์  แต่ใช้วัสดุที่มีแนวความคิดเพื่อศักดิ์ศรี  การป้องกันตัว  ความกล้าหาญ  อำนาจ  และความสวยงามมากขึ้น  เครื่องประดับจึงมีแต่ความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน  กิจกรรมของมนุษย์มีความทันสมัยมากขึ้น  ช่วยเหลือตนเองได้และมีการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ  ในระหว่างความสัมพันธ์ของรูปแบบ  น้ำหนัก  และการแสดงของรูปทรง  จึงได้มีช่างทำสิ่งตกแต่งเหล่านี้ด้วย  ซึ่งเครื่องมือส่วนใหญ่ทำมาจากกระดูก  เขาสัตว์  และหนังสัตว์  ให้มีรูปทรง  ส่วนเว้า  และแกะสลักกระดูก  และมีการออกแบบรูปทรงให้เข้ากับเจ้าของด้วยเช่นกัน

            การร้อยสร้อยคอที่โดดเด่นคือ  การร้อยสร้อยคอด้วยกระดูกแบบ  Ibex  เมื่อประมาณ  11,000  และ  10,000  ปีก่อนคริสตศักราช  มีการตั้งรางวัลให้กับการตกแต่งที่สวยงาม  นักออกแบบสนุกสนานกับการสร้างสัญลักษณ์ในรูปแบบต่างๆ  มีทั้งเพื่อศาสนาและเพื่อการเล่นตามฤดูกาล  โดยมีการพัฒนาความรู้  การคิด  โดยเฉพาะเรื่องการใช้เครื่องมือต่างๆ  ในการทำงานที่มีการยืดหยุ่น  มีการใช้วัสดุธรรมชาติอย่างหลากหลาย  ตัวอย่างเช่น  กระดูก  เขากวาง  และงาช้าง  วัสดุดิบต่างๆ  ล้วนได้มาจากการล่าสัตว์  เครื่องมือชนิดพิเศษที่จำเป็นใช้คือ  เหล็ก  ซึ่งใช้ในการแกะสลัก  มีความแข็งแรง  คม  มีขอบที่ใช้ในการจัด  ตัดได้ดี  สามารถใช้กับวัสดุที่มีรูปร่างอื่นๆ  ได้อีก  นอกจากนี้เครื่องมือต่างๆ  ยังมิใช่เป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการฆ่าสัตว์หรือการตัดเนื้อเพียงอย่างเดียว  แต่เพื่อใช้ในการผลิตเครื่องมืออื่นๆ  ที่มีความจำเป็นต่อการแกะสลักอีกด้วย  หลังจากนั้นช่างฝีมือได้พัฒนาเทคนิคการเจาะหินให้อยู่ตรงกลางได้  เป็นความพยายามทางเทคนิคที่สำคัญอีกเทคนิคหนึ่ง

  

 

 

 

 

 

 


สร้อยคอ  Ibex  11,000-10,000  ปีก่อนคริสตศักราช

ที่มา :  Margaret , (2000) , 25

 

                ระหว่าง  8,000  และ  6,500  มีก่อนคริสตศักราช  เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์จากการหาอาหารจนมาถึงการผลิตอาหารได้เอง  มีชีวิตเป็นหมู่บ้าน  จึงมีวัสดุมากมาย  มีการค้า  มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะมีการปลูกข้าธัญพืช  ข้าวเบอร์เล่  เลี้ยงหมู  แพะและแกะ  โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำไทกริส  ตลอดมาจนถึงทางตอนเหนือของกรีก  ส่วนทางแม่น้ำบริเวณเมโสโปเตเมีย ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปแบบเมืองแล้ว  ได้ก่อสร้างโดยใช้ดินและหิน  ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีรูปร่างแบบถาวร  มีระดับของช่างฝีมือ  มีการทำอาวุธและเครื่องมือเป็นโลหะ  มีการค้าขายหิน  ทำให้สังคมมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมากขึ้น  ทำให้วัตถุดิบบางชนิดเริ่มมีการขาดแคลน  โดยเฉพาะวัสดุที่มีความทนทานและความเรียบง่ายของวัตถุดิบ  กลายเป็นมูลค่าทางการค้า  สนองต่อความต้องการ  มีการผลิตให้เล็กลง  มีมาตรฐาน  และคำนึงถึงขนาด  ความยากในการผลิต  ความหายากของวัตถุดิบเป็นสิ่งที่ช่วยให้การค้ามีเครือข่าย  มีการใช้เงินสดเพื่อการเดินทางและแสดงถึงความทันสมัยของเทคโนโลยีทางการค้าด้วย  และเครื่องประดับรูปแบบต่างๆ  ได้กลายเป็นสินค้าที่สำคัญของพ่อค้า

            ยุค  Bronze  Age  หรือยุคหินสำริด  อยู่ในช่วง  2,000-1,200  ปีก่อนคริสตศักราช  ช่างเทคนิคหรือผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานเครื่องประดับได้รับการพัฒนาอย่างสูง  มีการศึกษาการทำเครื่องประดับเป็นการเฉพาะ  เนื่องจากมีกิจการทางการค้าเป็นกิจกรรมกระตุ้นให้มนุษย์เร่งในการพัฒนาศักยภาพให้มีคุณภาพเป็นไปตามความต้องการของตลาด  นอกจากทางด้านการค้าแล้วสังคมและวัฒนธรรมได้ร่วมเกินการเปลี่ยนแปลงด้วย

            เครื่องประดับในยุคหินสำริดนี้เป็นสิ่งของที่เริ่มเกิดการขาดแคลน  จึงมีการเสาะแสวงหาเพื่อเป็นการสร้างมูลค่าทางการค้า  ความทนทานของวัตถุดิบและความหายากของวัตถุดิบกลายเป็นสิ่งที่ต้องการ  การผลิตเครื่องประดับจึงมีขนาดเล็กลง  และมีการสร้างมาตรฐานของเครื่องประดับการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือการค้าขายแบบส่งออกและนำเข้าจึงเริ่มเกิดขึ้นในยุคนี้  เช่น  การแลกเปลี่ยนทองแดง  เหล็ก  กับอำพัน  ซึ่งเริ่มเป็นสินค้าหากในบอลติก  การทำลูกปัดแก้วในยุโรปเพื่อเป็นสินค้าแลกเปลี่ยน  เป็นต้น

            ในช่วงยุคหินสำริดนี้ได้เกิดอารยธรรมโบราณในขั้นต้นขึ้นแล้ว  และเมื่อเข้าสู่ยุค  Iron  Age  หรือยุคเหล็ก  อยู่ในช่วง  1,200  ปีก่อนคริสตศักราช  อารยธรรมโบราณอาณาจักรต่างๆ  ล้วนต่างสร้างความเจริญในอารยธรรมของตนเอง  และมีช่างฝีมือในการผลิตเครื่องประดับเพื่อผลทางสังคมตามความเชื่อและตามรสนิยมความงามของสังคมของตน  ดังนั้นศิลปะเครื่องประดับในอารยธรรมต่างๆ  เหล่านี้จึงจัดเป็นสีสันของศิลปะเครื่องประดับเป็นอย่างยิง